Saturday, January 17, 2009

"อุทยานแห่งชาติสีเขียว" (Green National Park)



the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret

ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่นับวันจะถูกทำลายลงเรื่อยๆ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงจัดตั้งโครงการ "อุทยานแห่งชาติสีเขียว" (Green National Park)ขึ้น เพื่อฟื้นฟูและพัฒนารักษาธรรมชาติให้ยั่งยืนโครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียว เป็นอีกหนึ่งโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งปัจจุบันมีอุทยานแห่งชาติเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากในทุกปี แต่เนื่องจากพื้นที่อุทยานฯนั้น เป็นพื้นที่เปราะบาง ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้น เพื่อรักษาแหล่งธรรมชาติให้คงอยู่โครงการนี้เล็งเห็นว่า การท่องเที่ยวสำคัญกับการพัฒนาประเทศ จึงจัดการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่า อีกทั้งยังสร้างมาตรฐานของการจัดอุทยานแห่งชาติและท่องเที่ยวในด้านความสะอาด ปราศจากขยะ และมลพิษ สร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีให้แก่อุทยานโดยกำหนดการท่องเที่ยวให้จำกัดอยู่ในขีดความสามารถในการรองรับในอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งภายใต้แนวคิด "7 Greens" ( ไม่ใช่ 7-11 นะครับ ฮี่ๆ ) ซึ่งต้องสร้างความรู้สึกให้กับนักท่องเที่ยวและชุมชน ปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางหรือรูปแบบการให้บริการด้านคมนาคมขนส่ง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อต้องการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว สนับสนุนรายได้ให้กับประเทศ และส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมรักษาธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และที่สำคัญเพื่อลดภาวะโลกร้อน ซึ่งระยะนำร่อง มีพื้นที่เป้าหมายเป็นอุทยานแห่งชาติทางบก 1 แห่ง และอุทยานแห่งชาติทางทะเล 1 แห่ง คือ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" ที่ครอบคลุมพื้นที่ จังหวัดปราจีนบุรี สระบุรี นครนายก และนครราชสีมา และอุทยานแห่งชาติทางทะเล คือ "อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา" จังหวัดพังงาโครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียว จะดำเนินงานภายใต้หลักการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างยั่งยืนในระหว่างเดือนตุลาคม 2551 – กันยายน 2552โครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียวนี้ จะมีกิจกรรมหลักๆ อยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ด้าน คือด้านการประชาสัมพันธ์ ที่จะจัดให้มีการประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญอุทยานฯ รวมถึงการให้ข้อมูลในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริมให้ลดใช้พลังงานต่างๆ ทั้งน้ำ ไฟฟ้า รวมถึงการบำบัดในด้านมลภาวะต่างๆด้านการบริการ ที่มีการพัฒนามาตรฐานการบริการภายในอุทยานต่างๆ อาทิ ความปลอดภัย ที่พัก ระบบป้าย การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นต้น และท้ายสุด การบริหารจัดการ ที่มีการกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์อย่างชัดเจนซึ่งต่อไปอุทยานแห่งชาติแห่งชาติเขาใหญ่ อันเป็นอุทยานแห่งชาติสีเขียวนำร่องนั้น จะใช้รถที่ไร้มลพิษ และมีรถรับ-ส่งเพื่อลดปัญหาการจราจรแออัด ลานจอดรถแน่น และจะมีการกำหนดพื้นที่สูบบุหรี่ สนับสนุนโครงการร้านค้าในอุทยานที่มีตรา Green food good test และจะพัฒนาไปยังอุทยานแห่งชาติต่างๆ ในประเทศไทย
นี่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆที่ผมคิดว่าน่าสนับสนุน และเพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกของคนไทยทุกคนให้หวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของเรา อีกทั้งเพื่อเป็นปกป้องสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติไม่ให้โดนทำลายไปจากฝีมือของนักเที่ยวที่ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติว่ามันเปราะบางแต่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน อย่างไรก็ตามหากคุณไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ จงระลึกไว้เสมอว่า ธรรมชาติและสัตว์ป่าคือเจ้าบ้าน ส่วนเราเป็นเพียงแขกผู้มาเยี่ยมเยือนเท่านั้น

Monday, January 5, 2009

ประเพณี"ฮีตสิบสอง"




ปฏิทินสากลเดินทางเข้าสู่ปีใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านของรอบปี จากปีชวด-หนู 2551 เข้าสู่ปีฉลู- วัว 2552 ขณะที่การเปลี่ยนผ่านในวงรอบเล็กลงมาอย่างการเปลี่ยนผ่านของแต่ละเดือนนั้น หลายประเทศอาจไม่ให้ความสนใจ แต่สำหรับชาวอีสานโบราณแล้วนี่คือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งชาวอีสานได้บ่มเพาะภูมิปัญญา ก่อกำเนิดเป็นประเพณีสำคัญๆขึ้นมาและได้ร่วมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยพวกเขาเรียกขานประเพณีเหล่านี้รวมกันว่า "ฮีตสิบสอง"

ฮีตสิบสอง หมายถึง จารีตประเพณีประจำสิบสองเดือน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ชาวบ้านจะได้มาร่วมชุมนุมและทำบุญในทุกๆ เดือนของรอบปี และถือเป็นจรรยาของสังคม ผู้ที่ฝ่าฝืนก็จะเป็นผู้ที่ ผิดฮีต หรือ ผิดจารีต นั่นเอง(หลายครั้ง ฮีตสิบสอง มักจะกล่าวควบคู่" คลองสิบสี่ "(คองสิบสี่) ที่เป็นดังแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิต(คลอง=ครรลอง)แต่จะมุ่งเน้นไปทางศีลธรรมมากกว่าด้านอาชีพ)



สำหรับประเพณีหลักๆ 12 เดือนตามฮีตสิบสองของชาวอีสานโบราณนั้นประกอบด้วย


เดือนเจียง (เดือนอ้าย) มีการประกอบพิธีบุญเข้ากรรม ซึ่งเป็นเดือนที่พระสงฆ์เข้ากรรม (ปริวาสกรรม) เพื่อให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิด ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์ เป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน และมุ่งประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป ชาวบ้านก็จะมีการทำบุญเลี้ยงผีต่างๆ


เดือนยี่ ในฤดูหลังการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะทำบุญคูณข้าวหรือบุญคูณลาน โดยนิมนต์พระสวดมนต์เย็น เพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก รุ่งเช้าเมื่อพระฉันเช้าแล้วจะมีการทำพิธีสู่ขวัญข้าว นอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน


เดือนสาม ในมื้อเพ็ง หรือวันเพ็ญเดือนสาม จะมีการทำบุญข้าวจี่และบุญมาฆบูชา การทำบุญข้าวจี่จะเริ่มตอนเช้า โดยใช้ข้าวเหนียวปั้นใส่น้ำอ้อยนำไปจี่บนไฟอ่อนแล้วชุบด้วยไข่ เมื่อสุกแล้วนำไป ถวายพระ


เดือนสี่ ทำบุญพระเวสฟังเทศน์มหาชาติ ในงานบุญนี้มักจะมีผู้นำของมาถวายพระ ซึ่งเรียกว่า "กัณฑ์หลอน" หรือถ้าจะถวายเจาะจงเฉพาะพระนักเทศน์ที่ตนนิมนต์มาก็จะเรียกว่า "กัณฑ์จอบ" เพราะต้องแอบซุ่มดูให้แน่เสียก่อนว่าใช่พระรูปที่จะถวายเฉพาะเจาะจงหรือไม่


เดือนห้า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หรือบุญสรงน้ำ หรือบุญเดือนห้า ซึ่งมีขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้า และถือเป็นเดือนสำคัญ เพราะเป็นเดือนเริ่มต้นปีใหม่ไทย การสรงน้ำจะมีทั้งการรดน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยน้ำอบน้ำหอมเพื่อขอขมาและขอพร ตลอดจนมีการทำบุญถวายทาน


เดือนหก ประเพณีบุญบั้งไฟและบุญวันวิสาขบูชา การทำบุญบั้งไฟเป็นการขอฝน พร้อมกับงานบวชนาค ซึ่งการทำบุญเดือนหกถือเป็นงานสำคัญก่อนการทำนา หมู่บ้านใกล้เคียงจะนำเอาบั้งไฟมาจุดประชันขันแข่งกัน หมู่บ้านที่รับเป็นเจ้าภาพจะจัดอาหาร เหล้ายามาเลี้ยง เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งขบวนแห่บั้งไฟและรำเซิ้งออกไป ณ ลานที่จุดบั้งไฟ ด้วยความสนุกสนาน คำเซิ้งและการแสดงประกอบจะออกไปในเรื่องเพศ แต่จะไม่คิดเป็นเรื่องหยาบคายแต่อย่างใด ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีที่จังหวัดยโสธร ส่วนการทำบุญวิสาขบูชานั้น จะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ช่วงเย็นมีการเวียนเทียนเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ


เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ (ล้าง) หรือบุญบูชาบรรพบุรุษ มีการเซ่นสรวงหลักเมือง หลักบ้าน ปู่ตา ผีตาแฮก ผีเมือง เป็นการทำบุญเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณ

เดือนแปด ทำบุญเข้าพรรษาซึ่งเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาโดยตรง ลักษณะการจัดงานจึงคล้ายกับทางภาคอื่นๆ ของประเทศไทย เช่น มีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร มีการฟังธรรมเทศนาตอนบ่าย ชาวบ้านหล่อเทียนใหญ่ถวายเป็นพุทธบูชาและเก็บไว้ตลอดพรรษา การนำไปถวายวัดจะมีขบวนแห่ฟ้อนรำเพื่อให้เกิดความคึกคักสนุกสนาน ประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเป็นที่จังหวัดอุบลราชธานี


เดือนเก้า ประเพณีทำบุญข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศแก่ญาติผู้ล่วงลับ เพื่อบูชาผีบรรพบุรุษและผีไร้ญาติ โดยชาวบ้านจะทำการจัดอาหาร ประกอบด้วยข้าว ของหวาน หมากพลู บุหรี่ ห่อด้วยใบตองกล้วย ร้อยเป็นพวง เตรียมไว้ถวายพระช่วงเลี้ยงเพล บางพื้นที่อาจจะนำห่อข้าวน้อย เหล้า บุหรี่ แล้วนำไปวางหรือแขวนไว้ตามต้นไม้ และกล่าว เชิญวิญญาณของบรรพบุรุษและญาติมิตรที่ล่วงลับไปมารับส่วนกุศลในครั้งนี้ ต่อมาใช้วิธีการกรวดน้ำหลังการถวายภัตตาหารพระสงฆ์แทน การทำบุญข้าวประดับดิน นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า

เดือนสิบ ประเพณีทำบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัตร) ตรงกับวันเพ็ญ เดือนสิบ ผู้ถวายจะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใส่ของทาน และเขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้ สลากของใคร ผู้นั้นจะเข้าไปถวายของ เมื่อพระฉันเสร็จแล้วจะมีการฟังเทศน์ เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ผู้ตาย

เดือนสิบเอ็ด ประเพณีทำบุญออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด พระสงฆ์จะแสดงอาบัติ ทำการปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ต่อมาเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทเตือนพระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตนอย่างผู้ทรงศีล พอตกกลางคืนจะมีการจุดประทีป โคมไฟ นำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ในวัดหรือตามริมรั้ววัด จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญจุดประทีป ในจังหวัดนครพนมจะมีประเพณีการไหลเหลือไฟ ซึ่งตกแต่งด้วยตะเกียงน้ำมันก๊าดเป็นรูปต่างๆ สวยงามกลางลำน้ำโขง และมีหลายจังหวัดที่จัดงานแห่ปราสาทผึ้งขึ้น แต่ที่นับว่าเป็นต้นตำรับและมีความยิ่งใหญ่กว่าที่ใด ก็คือ จังหวัดสกลนคร

เดือนสิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่า ซึ่งจะมีการทำบุญกองกฐิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรม หนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง แต่ชาวอีสานในสมัยก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกันตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า บุญเดือนสิบสอง สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล จะมีการจัดส่วงเฮือ (แข่งเรือ) เพื่อระลึกถึง อุสุพญานาค บางแห่งจะมีการทำบุญดอกฝ้ายเพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร มีการจุดพลุตะไล และบางแห่งจะมีการทำบุญโกนจุกลูกสาว ซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน

ประเพณีทั้งสิบสองเดือน ชาวอีสานโบราณถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบสอง ใครที่ไม่ไปช่วยงานบุญก็จะถูกสังคมตั้งข้อรังเกียจ และไม่คบค้าสมาคมด้วย การร่วมประชุมทำบุญเป็นประจำทำให้ชาวอีสานมีความสนิทสนมรักใคร่และสามัคคีกัน ทั้งภายในหมู่บ้านของตนและในหมู่บ้านใกล้เคียง

สำหรับวันนี้ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ประเพณี 12 เดือนหลายอย่างของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในขณะที่บางประเพณีก็เริ่มสูญหาย ซึ่งหากประเพณีเหล่านี้ไม่มีการสืบต่อหรือไม่มีการอนุรักษ์ไว้ บางทีในอนาคตเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักประเพณีอันดีงามอย่าง"ฮีตสิบสอง"ก็เป็นได้

ผู้สนใจร่วมสัมผัสศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และสถานที่ท่องเที่ยวของภาคอีสาน และบริการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆได้ในงาน เทศกาลเที่ยวอีสาน 2552 หรือ Amazing E-san Fair 2009 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 18 มกราคม 2552 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์