Friday, May 15, 2009

ท่องเที่ยวดูนก travel see a bird from the nature

the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret


นั่งมองท้องฟ้าที่บ้าน(โชคดีที่บ้านยังมีพื้นที่ว่างๆให้มองเห็นท้องฟ้า) ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกในบริเวณบ้าน ได้ยินเสียงนกร้องทั้งนกกางเขนและนกกระจิบตัวเล็กๆที่บินไปมา ผมไม่ใช่นักดูนกแต่ก็ชอบธรรมชาติและสัตว์ทุกอย่าง เสียงนกร้องเพลงขับขานยามหลังฝนตก ช่างเป็นเสียงที่ฟังแล้วเพลินใจ ได้มองเห็นนกตัวเล็กบินโผจากกิ่งไม้หนึ่งไปยังอีกกิ่งไม้หนึ่ง ฮื่ม...นี่สิธรรมชาติที่เราคนในเมืองถวิลหา นกเป็นสัตว์ที่มีมานานหากจะพูดกันไปอาจจะต้องย้อนไปเป็นล้านปีจนถึงยุคของไดโนเสาร์ มาวันนี้พื้นที่อาศัยของนกลดลงจนน่าใจหาย นกเป็นสัตว์ที่สวยงามและแน่นอนมันเป็นสัตว์ที่อยู่ในวัฏจักรห่วงโซ่อาหารของธรรมชาติ นกมีประโยชน์ทั้งช่วยกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูของพืชไร่ และกำจัดซากเน่าเปื่อยต่างๆ



นกเขนเทาหางแดง
โลกเป็นที่อยู่อาศัยอันสวยงามและอุดมสมบรูณ์ของชีวิต มนุษย์ พืชและสัตว์
หากปราศจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสามสิ่งนี้ อีกสองสิ่งที่เหลือก็ไม่สามารถจะอยู่ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ธรรมชาติของโลกกำลังถูกทำลายด้วยความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ สัตว์หลายชนิดสูญพันธ์ พื้นที่ป่าถูกทำลายและยังคงเดินหน้าทำลายต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ขณะที่การทำลายเผ่าพันธุ์เพื่อร่วมโลกของมนุษย์ยังคงเดินหน้า เราจะหาทางอย่างไรเพื่อบอกให้เขารู้ว่าโลกมีพื้นที่และทรัพยากรจำกัด และบอกเขาอย่างไรว่าธรรมชาติต้องมีองค์ประกอบทั้งสามส่วนอย่างสมดุลกัน



เพื่อการคงอยู่การอนุรักษ์ การเรียนรู้เรื่องนกจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้เยาวชนชองชาติในอนาคตตระหนักถึงการสูญเสียของโลกที่กำลังเกิดขึ้น
และการเรียนรู้เรื่องนกที่ดีที่สุดนั่นคือการที่ให้เขาออกไปสัมผัสกับนกและธรรมชาติจริงๆมากกว่าการนั่งดูเพียงสารคดีอยู่ที่บ้าน อีกทั้งเมื่อเราได้ออกไปดูนกเราก็จะได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องของธรรมชาติและได้ออกกำลังกายและสูดอากาศบริสุทธิ์ไปในตัวอีกทั้งการออกไปดูนกทำให้เรามีโอกาสได้รู้จกผู้คนอีกมากมายหลากหลายอาชีพ และนี่อาจจะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของใครบางคน



แต่หากยังมีใครบางคนสงสัยว่าทำไมเราต้องดูนกและนกมีความสำคัญอย่างไร ผมจะขออธิบายให้ฟัง นกเป็นสัตว์ตัวเล็กๆแต่มีคุณประโยชน์มากมายแม้นจะเป็นกลไกที่เล็กแต่สำคัญมากของธรรมชาติ นกบางชนิดกินแมลงเป็นอาหารจะทำให้เกิดการควบคุมจำนวนประชากรของแมลงไม่ให้มีมากจนเกินไป นกบางชนิดกินหนอนที่จะเจาะทำลายพืชไร่นั่นหมายถึงนกช่วยเราในการดูแลพืชผลการเกษตรสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดนกบางชนิดกินน้ำหวานในเกสรดอกไม้เท่ากับว่าพวกมันได้ช่วยให้พืชได้มีการขยายพันธุ์ และนกบางชนิดก็กินสัตว์ตัวโตอย่างหนูนาทำให้ไร่นาไม่เสียหาย เห็นมั้ยครับนกตัวเล็กนอกสวยงามแล้วมันยังมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อเราและธรรมชาติ



แต่ก่อนจะไปดูนกเรามาเตรียมตัวกันก่อน


ก่อนออกเดินทางเราต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ๆเราจะไปดูนก และลักษณะทางภูมิศาสตร์ และตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางรวมทั้งอาจจะต้องมีการขออุญาติเข้าพื้นที่ล่วงหน้าและตรวจสอบข้อมูลการพบนกในพื้นที่นั้นพร้อมทั้งศึกษาข้อมูลชนิดนก และจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้ในการเดินทางและการดูนกให้พร้อม



การแต่งกายไปดูนกต้องเหมาะสมแต่งกายให้เหมาะสมกับการไปดูนก เราต้องเข้าใจว่าเราไปดูนก(โดยเฉพาะสาวๆ)ไม่ได้ไปเดินชอบปิ้ง ดังนั้นการแต่งกายจึงต้องเลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันเข้ากับธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ไม่ฉูดฉาดปาดตา สีควรเป็นแบบธรรมชาติ เช่น สีน้ำตาล สีเขียว สีทา สีน้ำเงิน สีดำ และควรงดเว้นการสวมเสื้อและหมวกสีขาวหรือสีสันสดใส คิขุอะโนเนะ เพราะนกมันมีสายตาที่ดีและจะบินหนีไปเมื่อเห็นตัวประหลาดมาเดินแฟชั่นแถวบ้านของพวกมัน และนอกจากนั้นเราควรมีเสื้อกันฝน ถุงพลาสติก(ใส่ของอย่างกล้องดูนกหรือของจำเป็นอย่างอื่นและข้อสำคัญถุงพลาสติกกรุณาเอากลับมาทิ้งที่บ้านในถังขยะนะครับ อย่างทิ้งไว้เป็นภาระของธรรมชาติ)



อุปกรณ์ในการดูนก หลักๆก็คงเป็นกล้องสองตา(Binoculars)รือกล้องเทเลสโคป(Telescope)และหนังสือคู่มือดูนกและสมุดจดไว้จดรายละเอียดของนกที่เราเห็น
เช่น ลักษณะของนก สีนก จำนวน เวลา สถานที่ นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นกล้องถ่ายภาพ
ดินสอสีหรือปากกาสำหรับคนที่อยากจะสเกตซ์ภาพนก
และก่อนออกเดินทางเราต้องตรวจอุปกรณ์ทุกชิ้นว่ามันยังปกติดีอยู่
เพราะในป่าในดอกคงไม่มีร้านสะดวกซื้อให้เรา



ข้อแนะนำในการดูนกอีกอย่างที่ผมจะขอพูดถึงคือเทคนิคการดูนกตามธรรมชาติ





  • ดูนกในเวลาเช้า เพราะนกส่วนใหญ่หากินเวลาเช้า
    จนถึงประมาณ10.00 น.และหลังจาก14.00 น.จะเป็นนกที่หากินกลางคืน


  • หยุดการเคลื่อนไหวทุกๆ5นาที
    เพื่อสำรวจดูนกรอบๆและฟังเสียงร้องเพื่อจะได้ทราบว่ารอบตัวเรามีนกกี่ตัวละเป็นนกอะไรบ้าง
    อย่าคุยแข่งกับเสียงนก เราใช้ตาดูมือจดนะครับปากเงียบไว้จะดีกว่า


  • มองหานกทุกตำแหน่งตั้งแต่บนพื้นดิน ในกอหญ้า พุ่มไม้
    ต้นไม้ตั้งแต่โคนต้นจนถึงยอดบนสุดและเลยขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วย


  • พยามส่งเสียงรบกวนนกให้น้อยที่สุด
    เพราะเราสวมบทเป็นนายพรานที่จะมาส่อง(ดู)นก ดังนั้นทำเสียงให้เกิดน้อยที่สุด
    โดยเฉพาะเสียงจากการเหยียบกิ่งไม้ใบไม้แห้ง



  • เมื่อมองเห็นนกในระยะไกลให้ส่องกล้องดูก่อนอย่างเพิ่งรีบเดินเข้าไปในระยะใกล้
    เพราะเราอาจจะทำให้นกหนีไปได้


  • ปฏิบัติตามกฏของสถานที่ ที่เราไปอย่างเคร่งครัด
    เคารพเขาแล้วเขาจะเคารพเราครับ



พูดกันมาเยอะเรื่องดูนกคราวนี้หลายคนคงอยากรู้ว่าที่ดูนกของเมืองไทยมีที่ไหนบ้าง สำหรับแหล่งดูนกของเมืองไทยนั้นมีอยู่กว่า100แห่ง และในแต่ละสถานที่ก็จะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดูนก โดยแบ่งได้ดังนี้ครับ


เดือน พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
ตรงกับฤดูหนาว
ช่วงนี้เป็นเวลาที่ดีของปีเพราะเราจะไปดูนกที่ในแถบภาคเหนือเพราะอากาศจะเย็นสบาย
แหล่งที่นิยมดูนกได้แก่ ดอยสุเทพดอยปุย อุทยานแห่งชาติอินทนนท์
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว
และนอกจากนั้นก็ยังมีทางภาคใต้ตอนบนและภาคตะวันตก
เช่นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่
นกเขนหัวขาวท้ายแดงอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนเรศวร
อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง


เดือนมีนาคม-มิถุนายน
บริเวณที่นิยมดูนกอยู่ที่ภาคใต้และภาคตะวันตก ตั้งแต่ระนองพังงา กระบี่ นราธิวาส
สตูล และหาดใหญ่ เช่น อุทยานแห่งชาติทะเลบัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง


เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม
เป็นช่วงฤดูฝนดังนั้นการเดินทางจะค่อนข้างลำบาก
จึงมักจะดูนกในแหล่งใกล้ๆอย่างกรุงเทพก็มักจะไปดูกันที่ อำเภอกำแพงแสน
จังหวัดนครปฐม ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น


หากคุณไม่มีโอกาสเดินทางไปดูนกไกลๆได้ ก็ลองมองหานกแถวๆบ้านดูสิครับ ลองมองพวกเขาอย่างและหาข้อมูลเกี่ยวกับนกมาอ่านดูแล้วคุณจะรู้สึกว่าธรรมชาติไม่ได้อยู่ไกลเราเลย เราต่างหากที่พยามวิ่งหนีธรรมชาติ



ไว้พบกันคราวหน้าครับ
Secret of Thailand

Monday, April 20, 2009

โขงเจียม มนต์เสน่ห์แห่งแม่โขง the Mekong River

the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret

in Thailand has many important river and significant very much in Thailand. for Bangkok is the Chow Phya River the north is 4 rivers important is ping worn yom nan the Northeast is unless a river important late type a river is chei a river is mon for " , the Mekong River is " no flow reach Thailand directly but be a river in the northeast where the people thinks of " the Mekong River"
Image Hosted by Upload.TARAD.com
ในประเทศของเรามีแม่น้ำสำคัญอยู่หลายสาย
ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประเทศกสิกรรมแบบไทย
ใกล้คนกรุงเทพฯก็ต้องเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นเหนือก็เป็น ปิง วัง ยม น่าน
เป็นต้นและหากในสายอีสานนอกจากแม่น้ำสายดังอย่าง ชี มูล แล้ว "แม่น้ำโขง"
ที่แม้ไม่ได้ไหลผ่านเข้ามาในประเทศไทย
ก็เป็นแม่น้ำในอันดับต้นๆในภาคอีสานที่ผู้คนนึกถึง


"แม่น้ำโขง" แม่น้ำที่มีถิ่นกำเนิดจากบริเวณที่ราบสูงธิเบตในประเทศจีน ก่อนจะไหลสู่พื้นที่ 6 ประเทศ ได้แก่ จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามเป็นระยะทางกว่า 4,880 กิโลเมตร

ในส่วนของประเทศไทย มีช่วงที่แม่น้ำโขงไหลเลาะตะเข็บชายแดนอยู่เป็นระยะทางยาว 850 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็นสองช่วง คือในพื้นที่ จ.เชียงราย เหนือสุดในสยาม และลงมาที่ 6 จังหวัดของภาคอีสาน ได้แก่ เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานีและ ณ จุดสุดท้ายของสายน้ำโขงในแดนสยาม ที่จังหวัดอุบลราชธานีนั้น แม่น้ำโขงสีปูนได้ไหลบรรจบกับแม่น้ำมูลสีครามที่ กลายเป็นแม่น้ำสองสี ที่ อ."โขงเจียม" ก่อนจะไหลเลี้ยวเข้าสู่ประเทศลาวที่บ้านเวินบึกต่อไปโขงเจียม...

โขงเจียม อำเภอเล็กๆของ จ.อุบลราชธานี ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกสุดของประเทศ ทิวทัศน์ของแม่น้ำโขง ณ ที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และเป็นจุดท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนและเพิ่มพูนประสบการณ์ที่คุ้มค่าของภาคอีสานและ อ.โขงเจียมเองก็เป็นพื้นที่ที่มีของดีในตัวเองมากมาย

แหล่งท่องเที่ยวในโขงเจียมมีมากมาย แต่แหล่งสำคัญที่มีความงดงาม เพราะพร้อมด้วยธรรมชาติของสายน้ำบริเวณรอบแม่น้ำโขง จะมี เกาะ แก่ง ซึ่งความสวยของมันจะแล้วแต่ช่วงฤดูกาลด้วย ในช่วงฤดูร้อน น้ำจะน้อย นักท่องเที่ยวสามารถเห็นทิวทัศน์ 2 ข้างทางเป็นเกาะแก่งสวยงามยิ่งนัก พอฤดูฝน 2 ฝั่งน่านน้ำก็จะเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม ทั้งหน้าแล้งและหน้าฝนนี่ก็จะสามรถล่องเรือชมบรรยากาศริมฝั่งโขงได้ตามฤดูกาล

โขงเจียม มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีทั้งวัฒนธรรม ธรรมชาติ และศาสนา อย่างแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาทิ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ผาชะนะได ที่มีลักษณะเป็นเพิงผาที่ตั้งอยู่ปลายตะวันออกสุดของประเทศไทย เป็นจุดที่เห็นตะวันขึ้นก่อนใครในสยาม และช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีทะเลหมอกยามเช้าให้สัมผัส สวยและบรรยากาศดีมาก จึงเป็นเหมือนมนต์เสน่ห์จนไม่อยากกลับเลยทีเดียว

Image Hosted by Upload.TARAD.com


นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถไปกางเต็นท์นอนชมดาวยามค่ำคืนที่ผาแต้ม
หรือดูศิลปะภาพเขียนสีโบราณที่ผาแต้ม
ในอุทยานแห่งชาติผาแต้มเองยังมีความงดงามที่เป็นเอกอุอีกมากมาย อาทิ
น้ำตกสร้อยสวรรค์ เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีน้ำไหลตลอดทั้งปี
มีแอ่งน้ำที่สามารถลงเล่นน้ำได้ บริเวณน้ำตกเต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาพรรณ
เกิดจากลำธาร 2 สาย คือ ห้วยสร้อยและห้วยสะหนม ไหลจากหน้าผาคนละด้านมาบรรจบกัน

ห้วยสะหนม ไหลจากหน้าผาตัดชัน 90 องศา สุงราว 50-60 เมตร ส่วนห้วยสร้อยไหลจากทางทิศใต้ แล้วเทลาดลงมาตามช่องเขาที่เป็นหน้าผากว้างราว 30 เมตร มี 2 ชั้น โดยน้ำจะไหลมารวมกันตอนปลาย (มองดูคล้ายสายสร้อย) ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง

อีกอันที่กลายเป็น UNSEEN IN THAILAND ไปแล้วอย่าง น้ำตกแสงจันทร์ หรือ น้ำตกลงรู Image Hosted by Upload.TARAD.comเป็นน้ำตกขนาดเล็ก เกิดจากลำห้วยท่าล้ง ไหลไปตามพลาญหินทราย และไหลลอดผ่านหน้าผาที่มีลักษณะเป็นรูขนาดใหญ่ อันเกิดจากแรงกัดเซาะของสายน้ำ บ้างก็เรียกว่า "น้ำตกลงรู" สายน้ำที่ไหลรอดรูตกลงเป็นละอองขาวนวล มองดูคล้ายแสงจันทร์สาดส่องลงมาสู่พื้นโลก


และถ้าคุณอยากจะชอปปิ้งก็สามารถเดินทางไปที่ช่องเม็ก
ชายแดนที่เป็นอาณาเขตติดต่อระหว่างไทยกับลาว ซึ่งเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่มีร้านขายสินค้านำเข้า และหัตถกรรมจากชาวบ้านอีกด้วยเลียบริมโขงจากเหนือจรดใต้ความงามอันอาจจะเรียกได้ว่าครบทุกองค์รวมของธรรมชาติทั้งขุนเขาและสายน้ำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากที่นี่จะมีจำนวนผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นทุกปีๆ

Image Hosted by Upload.TARAD.com
โขงเจียม เริ่มเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัวเมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2535
เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายในโขงเจียม ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในปี 2550 เปรียบเทียบกับปี 2551 ในปี
2551 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นประมาณ 70-80% และหากถามว่าโขงเจียมสวยสุดในฤดูใด ก็คงต้องเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว
โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคมนักท่องเที่ยวจะได้ร่วมพิธีต่อแสงตะวันบนลานผาแต้ม และชมงานไหลโคมล่องโขงที่โขงเจียม ในค่ำคืนวันส่งท้ายปีเก่าและพร้อมรับแสงแรกของตะวันก่อนใครในสยามที่โขงเจียม
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกช้างน้าวหรือดอกเหมยในอุทยานแห่งชาติผาแต้มจะบานรับเทศกาลตรุษจีน

สำหรับคนที่สนใจการท่องเที่ยวในโขงเจียม แนะนำว่าควรเที่ยวบนเส้นทางท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขง จากใต้-เหนือโดยทางด้านใต้ สามารถแวะเยือน ชมรมอนุรักษ์ม้าพันธุ์พื้นเมืองฯ ที่บ้านหนองชาด ชมเขื่อนปากมูล แวะศึกษาศิลาจารึกพระเจ้าจิตรเสนรอยอารยะธรรมขอมโบราณยุคเจนละ(เจินละ)บริเวณข้างตัวเขื่อน
หรือชมความยิ่งใหญ่ของอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ แก่งหินกว้างกลางลำน้ำมูลImage Hosted by Upload.TARAD.comชมดอนตะนะ
ศึกษาธรรมชาติริมแม่น้ำมูล เยือนเขื่อนสิรินธรแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ชมทัศนียภาพทะเลสาบเหนือเขื่อน ส่วนเส้นทางท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขง
ทางด้านเหนือของเมืองโขงเจียม นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยว ชมเสาเฉลียงคู่ อันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ สายลม แสงแดด ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี
มีลักษณะเป็นแท่งหินตั้งขึ้นมีส่วนบนเป็นแผ่นหินวางไม่ติดกันมองดูคล้ายดอกเห็ด ตั้งคู่กันบนเนินหินทรายตรงเนินเสาเฉลียงคู่นี้ยังเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของดงนาทามอีกด้วย

ส่วนใครเป็นนักผจญภัยก็ต้องมาที่ ป่าดงนาทาม แหล่งเดินป่า แค้มป์ปิ้ง ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปลายฝนต้นหนาวของอีสานใต้ มีลักษณะเป็นผืนป่าตะวันออกสุดของประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในปัจจุบัน ติดกับแม่น้ำโขง มีหน้าผาสูงชัน ในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะมีดอกไม้ป่าบานสะพรั่งเต็มลานหิน เช่น หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอ็นอ้า ดุสิตา สรัสจันทร สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ทิพเกสร ฯลฯ และพืชกินแมลงจำพวกหม้อข้าวหม้อแกงลิง ขึ้นอยู่ทั่วไปตามชายป่าและลำห้วย

"โขงเจียมเป็นจุดไหลผ่านของแม่น้ำโขงที่มีความงดงามตามธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวก็มีมากมาย ดังนั้นหากคิดจะก้าวเดินท่องเที่ยวตามตะวัน ก็อย่าลืมก้าวตามแสงแรกของตะวันมายังผืนดินริมโขง ที่โขงเจียม จ.อุบลราชธานีแห่งนี้"

แม้นในช่วงนี้ประเทศไทยของเราจะมีปัญหาต่างๆมากมายที่กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว แต่หากเราคนไทยมีความรักและเข้าใจที่ดีต่อกันเหมือนก่อนแล้ว เราคงจะจดจำกันได้ว่า ชาติไทยของเราต้องผ่านอะไรมามากบรรพบุรุษของเราต้องสู้เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน...ให้เราทุกคนมีวันนี้...วันที่เราทุกคนคือคนไทย รักกันไว้ดีกว่าครับเพราะที่นี่คือบ้านของเราแผ่นดินของเราอย่าทำลายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งเลย...เอ๋..มาเรื่องเครียดๆได้ไงหว่า...เอ้า...เอาเป็นว่าการท่องเที่ยวต่างชาติไม่มา เราคนไทยก็เที่ยวในเมืองไทยดีกว่า เพื่อจะได้ทำให้เศรษฐกิจของเราดีขึ้นเร็วๆ...ขอให้เที่ยวไทยกันให้สนุกนะ เพราะเมืองไทยมีดีกว่าที่คิด

Sunday, April 5, 2009

เมืองที่เขาคิดว่าจะเป็น"ปาย"แห่งที่สอง

the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret

เมืองที่ว่ากันว่า จะกลายเป็น
ปายแห่งที่สอง


Image Hosted by Upload.TARAD.com
อากาศร้อนเหมือนจะหยุดเวลาเมืองแห่งนี้ไว้ให้นิ่งสนิท
เปลวแดดเต้นเร่าอยู่บนผิวถนนคอนกรีตไอระอุ ถนนเส้นเลียบริมโขงแทบว่างเปล่า
นานๆ จะมีรถวิ่งผ่านสักคันหนึ่ง
บ้านเรือนที่เป็นห้องแถวไม้ส่วนใหญ่ปิดประตูเงียบเชียบ ราวกับร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย
แต่ที่จริงแล้วมีวิถีชีวิตดำเนินอยู่ภายใต้ความเงียบสงัดเหล่านั้น

แม้จะไม่คึกคักเท่ากับถนนเส้นบนที่เป็นฝั่งตลาเศรษฐกิจของเมือง แต่บ้านเรือนฝั่งติดริมแม่น้ำโขงนี้เคยเป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองของเชียงคานในยุคหนึ่ง ยุคที่ผู้คนสองฝั่งโขงข้ามฟากไปมาหาสู่กันได้โดยอิสระ


เชียงคานสถานที่เคยเป็นเมืองท่าสำคัญที่เป็นแหล่งซื้อขายฝ้ายขนาดใหญ่
รวมทั้งสินค้าจำเป็นอย่างเช่นน้ำมันเชื้อเพลิงในอดีตระหว่างลาวกับไทย


ความรุ่งเรืองนั้นยังหลงเหลือตกทอดมาถึงปัจจุบัน ตึกแถวไม้ใหญ่น้อยที่เรียงรายตลอดสองฟากถนน แสดงให้เห็นว่ายุคหนึ่ง เศรษฐกิจที่นี่เคยรุ่งเรืองปานใดแม้ทุกวันนี้เรือนแถวไม้เหล่านั้นจะถูกปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ทำการค้าคึกคักอย่างสมัยก่อน แต่บางห้องเริ่มมีการปรับปรุงเปิดรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเชียงคานมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงระยะปีหลังมานี้ ที่ชื่อของเชียงคานเริ่มหอมหวนขึ้นมาในหมู่นักเดินทางคนไทยว่า
ที่นี่จะเป็น"ปาย"แห่งที่สอง

แต่ไม่มีใครอยากให้เชียงคาน เป็นเหมือน"ปาย"


Image Hosted by Upload.TARAD.com
หลังจากชื่อของ 'ปาย' กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮิตติดลมบนไปเมื่อหลายปีก่อน เชียงคานกำลังเจริญรอยตามปายมาติดๆ ทั้งจุดเริ่มจากเป็นเมืองฮิตของ Lonely Planet และบรรดาเหล่าแบ็คแพคเกอร์ จากนั้นก็ตามมาด้วยนักเดินทางชาวไทยที่รักความสงบ ช่างภาพ ศิลปิน นักเขียน และคนทำงานศิลปะแขนงต่างๆ เป็นหัวหอกที่เข้ามาท่องเที่ยว เปลี่ยนบรรยากาศกลุ่มแรกๆ ไปจนถึงอยู่ตั้งรกรากที่นั่นImage Hosted by Upload.TARAD.com



เมื่อเริ่มมีกระแสคนไทยมาเที่ยวเชียงคาน ทำให้เมืองเล็กๆ
ชายโขงแห่งนี้มีชื่อเสียงมากขึ้น ทางด้านคนเชียงคานเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการรวมกลุ่มพูดคุยกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เรื่องการออกกฎควบคุมอาคารสูง การทาสีอาคารบ้านเรือน และการใช้พื้นที่ถนนริมเขื่อนสาธารณะที่ติดแม่น้ำโขง เพื่อไม่ให้การท่องเที่ยวมาทำให้บ้านเกิดของพวกเขาเปลี่ยนไปจนไม่หลงเหลือเสน่ห์แบบธรรมชาติบริสุทธิ์ เช่นที่เมืองท่องเที่ยวอย่างปายประสบมาก่อน


ความงดงามในแบบธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิม กำลังจะเลือนหายไปจากปาย...แต่ที่เชียงคาน
หลายคนมองเห็นปัญหาและได้คิดหาแนวทางแก้ไข ธรรมชาติวัฒนธรรม รายได้ ความเจริญ
มันจะต้องเดินควบคู่กันและต้องไม่ทำลายกัน

Monday, February 23, 2009

Ratchaburi the Magic of 10

the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret

เมืองใกล้กรุงเทพฯอย่างราชบุรี ใครจะเชื่อว่ายังมีเสน่ห์ความงามอันหลากหลาย ท้าทายให้หลงใหล หากใครได้เดินทางมาสัมผัสกับ “Ratchaburi the Magic of 10 : สิบแหล่งท่องเที่ยว ที่ไม่ควรพลาดที่ราชบุรี” จะพบว่าใน 10 อำเภอของจังหวัดราชบุรี ต่างมีศักยภาพของการท่องเที่ยว แตกต่างกันที่ควรค่าแก่การไปเยือน เราลองมาทำความรู้จักกับ“Ratchaburi the Magic of 10 : สิบแหล่งท่องเที่ยว ที่ไม่ควรพลาดที่ราชบุรี” กันดูดีกว่า

Magic 1 “เมืองราชบุรี - ท่องวัด...ลัดวัง..เลียบฝั่งแม่กลอง” เริ่มจากแวะชม “เมืองโบราณคูบัว” อดีตเมืองท่าที่รุ่งเรืองในยุคทวารวดี ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับโบราณวัตถุ สามารถแวะไปชมได้ที่ “วัดโขลงสุวรรณคีรี” ชมร่องรอยศิลปะทวารวดีที่สำคัญ ที่ “ถ้ำฤาษีเขางู” ในถ้ำพบว่ามีพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทจำหลักติดผนังถ้ำ แต่หากอยากรู้จักความเป็นมาของราชบุรีอย่างลึกซึ้ง ตามหลักวิชาการโบราณคดี แนะนำให้ลองแวะไปชมที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี” ในเมืองราชบุรียังมีจุดชมวิวได้ทั่วเมืองที่ “เขาแก่นจันทน์” มีความสูงประมาณ 141 เมตร บนยอดมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปนิโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “พระสี่มุมเมือง”เป็นพระ1ใน4 องค์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น แล้วพระราชทานไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองต่างๆ4 เมือง ได้แก่ ราชบุรี ลำปาง สระบุรี และพัทลุง หรือจะแวะไปชมพระประธานในวิหารแกลบ ที่ “วัดเขาเหลือ” จากนั้นก็ข้ามฟากลำน้ำแม่กลอง ไปช่วยกันส่องหารูปปั้นทุเรียนใบจิ๋วบนหน้าบันพระอุโบสถ “วัดตาล” ไปเที่ยวชม “เขาวังราชบุรี”ที่สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ดูว่าจะแตกต่างจากเขาวังเมืองเพชรอย่างไรบ้าง
Magic 2 “ดำเนินสะดวก – ถิ่นผลไม้ และสายน้ำ” สัมผัสตลาดน้ำดำเนินสะดวก ท่องเที่ยวตามเส้นทางล่องเรือตามรอยพระพุทธเจ้าหลวง ชมสวนเกษตรผสมผสาน ชมบ้านเรือนไทยเก่าแก่ริมน้ำ ชิมน้ำตาลมะพร้าวสดแก้กระหาย ผ่านวัดโชติทายการามและบ้านเจ๊กฮวด...ที่ครั้งหนึ่งรัชกาลที่5เคยเสด็จมาในแบบสามัญชน และเสวยพระกระยาหารกลางวันที่นี่ก่อนจะผ่านตลาดคลองลัดพี
Magic 3 “โพธาราม – สารพันช่างแหล่งรวมศิลป์”ชมฝูงค้างคาวนับล้านตัวที่เขาช่องพราน และ ชมภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังอายุ 200 ปี ที่วัดคงคาราม ชมสุดยอดศิลปะการเชิดหนังใหญ่ที่วัดขนอน พบกับสารพันแหล่งรวมศิลป์ที่ชุมชนเจ็ดเสมียนสัมผัสกับชุมชนตลาดเก่าเจ็ดเสมียนที่อยู่หลังสถานที่รถไฟเจ็ดเสมียน
Magic 4 “บ้านโป่ง – สัมผัสอารยธรรมไทยรามัญ”จุดเริ่มต้นของหลักกิโลเมตรแรกของทางรถไฟสายมรณะ ณ สถานีหนองปลาดุก ก่อนผ่านเข้าสู่กาญจนบุรี เพื่อขยายกำลังไปสู่พม่า ปัจจุบันเป็นแหล่งประกอบรถบัสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งจนได้รับการขนานนามว่า “ดีทรอยส์เมืองไทย” ชมมรดกทางวัฒนธรรมชาวไทยมอญ ณ “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง”
Magic 5 “วัดเพลง งานเด่นสถาปัตย์โบสถ์คริสต์”วัดเพลงอำเภอเล็กๆติดกับอำเภอเมือง ที่นี่จะได้เห็นชาวสวนเก็บมะพร้าวร้อยพวงยาวลากมาตามร่องสวน กรรมวิธีขนส่งพืชผลแบบพื้นบ้านที่หาชมได้ยาก แวะไปชม “โบสถ์คริสต์วัดพระหฤทัย” อายุร่วม 100 ปี ที่เด่นสง่างดงามตามสไตล์ตะวันตก
Magic 6 “จอมบึง – มหัศจรรย์ถ้ำสยาม”ชมหินสวยกลางแสงที่ “ถ้ำเขาบิน”ภายในถ้ำยังมีบ่อน้ำแร่เล็กๆที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตื่นตาหินย้อยระย้า ณ “ถ้ำจอมพล” มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก วิจิตรที่เหมือนกับริ้วไหมอินทรธนูบนบ่าของจอมพล
ดอกไม้แห่งราชบุรี “สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคกลาง”ตั้งอยู่เชิงเขาประทับช้าง เป็นสวนป่าร่มรื่น เป็นที่รวบรวมพรรณไม้ในวรรณคดีหายากหลายชนิด ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ดอกอรพิมจะบานสะพรั่งสีขาวบริสุทธิ์แล้วอย่าลืมดูนกอพยพใน “เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาประทับช้าง” เปิดโลกจ้าวแห่งนักล่า “สถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่าและสวนสัตว์เปิดเขาประทับช้าง”เป็นสถานีเดียวในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ที่มีการเพาะเลี้ยงและแพร่พันธุ์เสือ
Magic 7 “สวนผึ้ง – ทันสมัยไร้กาลเวลา”สวนผึ้งเป็นอำเภอชายแดนโอบล้อมด้วยขุนเขา ใกล้กรุงเทพเพียง 2 ชั่วโมง ชุ่มชื่นกับธารน้ำแร่ “บ่อคลึง” เพลินพรรณไม้ใน “สวนป่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์”และ “พิพิธภัณฑ์ภโวทัย” ภายในจัดแสดงเครื่องใช้ไม้สอยแบบไทยๆและของโบราณนับพันชิ้น หรือจะขึ้นดูพระอาทิตย์และสายหมอกที่ “เขากระโจม”ก็น่าสนใจ
Magic 8 “บ้านคา – ธรรมชาติงดงาม สุดแดนสยามตะนาวศรี”ที่นี่ต้องมาตามรอยนกเงือกสู่ “น้ำตกห้วยสวนพลู” มีรายงานการพบนกเงือกถึง 5 ชนิด และนกป่าหายาก เช่น นกแซว สวรรค์สีขาวหาวยาว หรือแวะ“น้ำตกซับเตย”เป็นน้ำตก 9 ชั้น ชมพืชสมุนไพร กล้วยไม้ป่า จากนั้นไปนมัสการอัฐิหลวงปู่เทสก์ ณ “วัดป่าพระธาตุเขาน้อย” เลยไป“พุน้ำร้อนไทยประจัน” มีอุณหภูมิในบ่อ 65 องศาเซลเซียส
Magic 9 “ปากท่อ – แหล่งเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติ” แวะที่ “อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน” ชม น้ำตกแม่ประจัน พุน้ำร้อนบ้านบึงที่สวยงาม ลำห้วยตลอดแนว อ่างเก็บน้ำที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้แนวป่าเขา และส่งท้ายกับ
Magic 10 “บางแพ – สุดยอดหุ่นขี้ผึ้งสยาม”อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ภายในอุทยานเป็นอาคารจัดแสดงรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาส อาทิ หุ่นขี้ผึ้งพระสุปัฎิปัณโณ หุ่นขี้ผึ้งของอ.สัญญา ธรรมศักดิ์ และสืบ นาคะเสถียร เป็นต้น

ราชบุรีอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนักหากใช้เวลาขับรถส่วนตัวไปก็เพียงชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว สำหรับผมเองไปเที่ยวราชบุรีมาหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งหลังๆที่ไปนี่ขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปชนิดคนเดียวก็เที่ยวได้ ดังนั้นปีนี้เรามาเที่ยวเมืองไทยกันดีกว่าครับ

Saturday, February 7, 2009

ตลาดน้ำ แหล่งท่องเที่ยวที่แสดงความเป็นไทย

the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret

ในยุคที่กระแสย้อนยุคยังมาแรง สถานที่ท่องเที่ยวอย่างตลาดโบราณ นับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนนิยมไม่น้อย เพราะด้วยเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่จึงทำให้ตลาดหลายต่อหลายแห่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้งชาวไทยและต่างชาติ สำหรับในพื้นที่ใกล้ๆกรุงเทพฯ มีตลาดโบราณและตลาดในบรรยากาศย้อนยุคทั้งตลาดน้ำ ตลาดบก อยู่มากหลาย และนี่คือ 10 ตลาดที่น่าสนใจ ที่แต่ละแห่งล้วนอบอวลไปด้วยวิถีแห่งการซื้อขายพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์

ตลาดน้ำท่าคา : ต.ท่าคา จ.สมุทรสงคราม หนึ่งในตลาดน้ำสุดคลาสสิกที่แม้ปัจจุบันโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด ชาวตลาดน้ำท่าคาก็ยังคงอนุรักษ์วิถีตลาดน้ำตามธรรมชาติอย่างมั่นคง ซึ่งได้แก่การนัดหมายขายของที่ยังคงใช้วิธีการนัดแบบโบราณคือ ทุกๆข้างขึ้นและแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ(หรือทุกๆ 5 วัน) ตั้งแต่เวลา 05.00-12.00 น. นับเป็นตลาดน้ำแห่งเดียวในเมืองไทยที่ยังคงนัดขายของกันด้วยวิธีการนี้ สำหรับสินค้าที่แม่ค้าแม่ค้าลอยเรือมามาค้าขายก็เป็นผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าพื้นบ้าน เช่น ผัก ผลไม้ อาหารทะเล น้ำตาล อาหารการกินสารพัดอย่าง ขนมพื้นบ้านต่างๆ ฯลฯ ท่ามกลางบรรยากาศ อันเรียบง่าย สงบ ร่มเย็นแวดล้อมด้วยเรือกสวนและบ้านเรือนของชาวบ้าน (สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต.ท่าคา 0-3476-6208)
ตลาดร่มหุบ : ตั้งอยู่ที่ สถานีรถไฟแม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ตลาดแห่งนี้ก็คลาสสิกอีกเช่นกัน โดยชื่อ “ตลาดร่มหุบ” เป็นชื่อที่นักท่องเที่ยวได้เป็นคนตั้งให้ตามสภาพที่เกิดขึ้นกับตลาดแห่งนี้ แต่ชื่อจริงๆ คือตลาดราชพัสดุ กรมธนารักษ์ หรือชื่อที่คุ้นเคยในหมู่พ่อค้าแม่ขายคือ “ตลาดรถไฟ” พื้นที่ของตลาดร่มหุบนี้ มีความยาวประมาณ 100 ม. ซึ่งทอดยาวไปตามรางรถไฟ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะวางขายสินค้าบนพื้นจนติดกับรางรถไฟ เวลารถไฟมาซึ่งประมาณวันละ 8 รอบ พ่อค้าแม่ขายต่างก็เก็บสินค้าและหุบร่มที่กางอย่างพร้อมเพรียงภายในพริบตา จนเป็นที่มาของชื่อตลาดหุบร่ม ที่มีสินค้าจำพวกพวกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารทะเลสดๆ วางขายกันในราคาไม่แพงและมีคุณภาพดี (สอบถามเพิ่มเติมที่ ปชส.สมุทรสงคราม 0-3471-4881)
ตลาดน้ำอัมพวา : อยู่ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นตลาดน้ำยามเย็น เปิดทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แม่ค้าแม่ขายจะพายเรือมาจอดให้ได้สั่งซื้อกินกัน อาหารที่ขายมีหลากหลาย เช่น ขนมจีน ขนมเบื้องญวน กระเพาะปลา ข้าวยำปักษ์ใต้กับสลัดผลไม้ ก๋วยเตี๋ยวหมู หอยทอด กวยจั๊บ ขนมใส่ไส้ นอกจากเรืออาหารในคลองแล้ว สองข้างทางทั้งสองฝั่งสะพานยังมีร้านให้เดินเลือกชมกันอีกเพียบ เช่น ขนมหวาน บะจ่าง โอเลี้ยง ส่วนในช่วงหัวค่ำที่ตลาดยามเย็นแห่งนี้ยังมีกิจกรรมล่องเรือไปชมหิ่งห้อยกันอีกด้วย นับเก๋ไก๋ไม่เหมือนใครเลยทีเดียว สอบถามได้ที่ เทศบาล ต.อัมพวา โทร. 0-3475-1351
ตลาดคลองสวน : ตั้งอยู่ริมคลองประเวศน์บุรีรมย์ในพื้นที่ 2 จังหวัดคือ ต.เทพราช อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทราและ ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ตลาดคลองสวนเป็นตลาดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงบัดนี้ก็อายุรวมได้ร้อยกว่าปีแล้วในอดีตตลาดคลองสวนถือเป็นจุดแวะพักเรือก่อนเข้ากรุงเทพฯและเป็นศูนย์รวมของชุมชน ปัจจุบันเป็นตลาดที่ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์บ้านเรือนและวิถีอันเรียบง่ายไว้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คงไว้ด้วยกลิ่นอายสมัย ร.5 บรรยากาศการซื้อขาย สินค้า และอาหารการกินอันเรียบง่ายเป็นกันเอง (สอบถามเพิ่มเติมที่ เทศบาล ต.คลองสวน 0-2739-3253, 0-2739-3329)

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง : อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เปิดขายกันเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เท่านั้น ตลาดแห่งนี้ถือเป็นตลาดน้องใหม่ แต่เด่นด้วยวิถีชีวิตพื้นบ้านย้อนยุคของชาวบ้านริมคลอง ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย เชื้อสายมอญ น้ำในคลองยังสะอาด มีของกินพื้นบ้านหลากหลายชนิดที่ชาวบ้านทำมาขายเอง โดยพายเรือขาย อาทิ ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ ขนมจีนน้ำยา หอยทอดขนมครก ขนมใส่ไส้ ขนมทองหยอด เม็ดขนุน ฝอยทอง กาละแมกวน ตะโก้มะพร้าว วุ้นลูกชุบ ตะโก้แห้ว ห่อหมกหมู เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีผลไม้จากสวนที่มีอยู่ทั่วไปสองฝั่งคลอง ผลไม้ขึ้นชื่อที่สุดของบางน้ำผึ้ง คือมะม่วงน้ำดอกไม้ และยังมีไม้ดอกไม้ประดับ สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ ไข่เค็มดินสอพอง บริเวณตลาดน้ำมีเรือพายให้บริการ นั่งเรือลัดเลาะชมพื้นที่สีเขียว 2 ฝั่งคลอง (สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต.บางน้ำผึ้ง 0-2819-6762)


ตลาดบ้านใหม่ : บน ถ.ศุภกิจ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งตลาดบ้านใหม่แห่งนี้ก็เป็นตลาดเก่าอายุกว่า 100 ปี เช่นเดียวกัน โดยเป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน เมื่ออดีตสถานที่แห่งนี้มีความคับคั่งด้วยผู้คนที่มาประกอบอาชีพค้าขาย รวมทั้งเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา แม้วันเวลาผ่านพ้นไปนาน แต่ความสำคัญของตลาดริมน้ำแห่งนี้ก็ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ตลาดบ้านใหม่นี้นอกจากจะใช้เป็นสถานที่สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์และละครยอดนิยมแล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารอร่อย ขนมและของขบเคี้ยวนานาชนิด เป็นที่รวบรวมอาหารรสเด็ดของแปดริ้ว ทั้งอาหารจีน อาหารไทย ที่มีรสชาติตามมาตรฐานอาหารของแต่ละชาติ มีร้านกาแฟโบราณรสชาติเข้มข้นหอมหวาน เป็นที่รวบรวมของฝากที่ต้องแวะซื้อเป็นของฝากก่อนกลับบ้านทุกครั้ง (สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท.สนง.ฉะเชิงเทรา 0-3731-2282, 0-3731-2284)
ตลาดสามชุก : ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ตลาดแห่งนี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งในตลาดเก่าแก่ ตัวตลาดเป็นห้องแถวไม้ 2 ชั้น อันเป็นเอกลักษณ์ ตลาดสามชุกในอดีตคือตลาดข้าวที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นตลาดใกล้กรุงชื่อดัง มีสินค้าขายสารพัด โดยเฉพาะด้านอาหารการกินที่นี่ขึ้นชื่อมาก ทั้ง ข้าวห่อใบบัว ก๋วยเตี๋ยวยำบก กาแฟ ขนมไทยโบราณ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีร้านเก่าแก่ อาทิ ร้านศิลป์ธรรมชาติ เป็นร้านถ่ายรูปโบราณที่มีกล้องถ่ายภาพอายุกว่าร้อยปี ร้านทำฟัน ร้านนาฬิกา ร้านขายทอง โรงแรมไม้ ฯลฯ (สอบถามเพิ่มเติมที่คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุก 0-3557-2449, 0-3550-4498)

ตลาดดอนหวายตั้งอยู่ที่วัดดอนหวาย ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ตลาดดอนหวายเป็นตลาดที่ยังคงเหลือสภาพตลาดเก่าในอดีตสมัยรัชกาลที่ 6 ลักษณะตัวอาคารเป็นอาคารไม้เก่าๆ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีน มีพ่อค้า แม่ค้า พายเรือนำสินค้า และอาหารมาจำหน่ายมากมาย ทั้งอาหารคาว ขนม ผลไม้ ผักสด ต้นไม้ เครื่องจักสาน และอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ปลาตะเพียน 3 รส น้ำพริกชนิดต่างๆ ห่อหมก ปลาช่อนเผาเกลือ เป็ดพะโล้ กุนเชียงหมู ปลาสลิดตากแห้ง ปลาทูสามรส สาลี่ทิพย์ โมจิ ปุยฝ้าย ขนมตาล ขนมตะโก้ ขนมเบื้อง ขนมฝักบัวโบราณ ลูกชุบ ทองม้วนสด ข้าวเหนียวแก้ว ขนมเปี๊ยะ และยังมีเรือบริการนำเที่ยวชมทิวทัศน์ของสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนอีกด้วย (สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท.สนง.นครปฐม 0-3451-2500, 0-3462-3691)
ตลาดน้ำไทรน้อย : ริมคลองพระพิมลราชา อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ตลาดน้ำไทรน้อยแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของอาหารคาวหวาน ผัก ผลไม้ หลายชนิดที่ชาวบ้านนำมาจำหน่ายริมฝั่งคลอง มีรสชาติอร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัยและราคาเป็นกันเอง นอกจากนี้ชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตของชาวนนทบุรีที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งคลอง ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติและความเป็นไทยอยู่ โดยตลาดเปิดเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น (สอบถามเพิ่มเติมที่ ปชส.นนทบุรี 0-2580-0751, 0-2589-7615)


ตลาดโก้งโค้ง : ตั้งอยู่บ้านแสงโสม ถ.บางปะอิน-วัดพนัญเชิง ต.ขนอนหลวง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยตลาดโก้งโค้งที่ชื่อฟังดูแปลกหูนั้นมาจากในสมัยก่อน ตลาดในสมัยโบราณคนขายจะนั่งขายสินค้าอยู่บนพื้นดิน ดังนั้นคนที่มาซื้อสินค้าจะต้องโก้งโค้ง เพื่อเลือกดูสินค้าที่ตนสนใจ โดยอากัปกริยาโก้งโค้งนั้น ทำได้สุภาพ นุ่มนวล ไม่เหมือนใคร และไม่มีชนชาติใดทำเหมือน ซึ่งบ้านแสงโสมนั้น ลักษณะเป็นบ้านเรือนไทยหมู่ใหญ่ และยังคงความเป็นสถาปัตยกรรมไทยโบราณไว้ จุดเด่นของตลาดโก้งโค้งนี้คือ การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีวิถีชาวบ้านที่พ่อค้าแม่ขายจะแต่งกายชุดไทยย้อนยุค หรือชุดไทยแบบชาวบ้านจริงๆเพื่อรักษาวิถีชีวิตแบบอยุธยาเอาไว้ ภายในตลาดจำหน่ายพืช ผัก ผลไม้ปลอดสารพิษจากสวนชุมชน สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารคาว-หวานนานาชนิด เช่น ขนมหม้อแกง ฝอยทอง เม็ดขนุน ขนมเบื้อง กล้วยนาบ ก๋วยเตี๋ยวเรือโบราณ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ส้มตำ ไก่ย่าง หมูสะเต๊ะ ห่อหมก กล้วยแขก ข้าวปั้นสูตรโบราณ เป็นต้น โดยจะเปิดเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์เช่นกัน (สอบถามเพิ่มเติมที่บ้านแสงโสม 0-3572-8286) ...........................


นอกจาก 10 ตลาดที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีตลาดอื่นๆที่น่าสนใจใกล้กรุงเทพฯ อาทิ ตลาดน้ำดำเนินอันโด่งดัง ราชบุรี ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ตลาดน้ำลำพญา นครปฐม ตลาด 9 ห้อง สุพรรณบุรี ตลาดน้ำบางน้อย สมุทรสงคราม ในขณะที่ตลาดบรรยากาศพื้นบ้านที่น่าสนใจในกรุงเทพฯก็มี อาทิ ตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดไร้คาน(ตลาดวัดทอง) ตลาดน้ำวัดสะพาน ตลาดน้ำวัดไทร เป็นต้น ซึ่งนี่คือสิ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ให้อยู่คู่เมืองไทยไปตราบนานเท่านาน

Saturday, January 17, 2009

"อุทยานแห่งชาติสีเขียว" (Green National Park)



the history of Thailand , the nature travels,tour in thailand ,thailand,entertainment,hotel in thailand,thai shoping,thai secret

ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่นับวันจะถูกทำลายลงเรื่อยๆ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงจัดตั้งโครงการ "อุทยานแห่งชาติสีเขียว" (Green National Park)ขึ้น เพื่อฟื้นฟูและพัฒนารักษาธรรมชาติให้ยั่งยืนโครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียว เป็นอีกหนึ่งโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งปัจจุบันมีอุทยานแห่งชาติเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากในทุกปี แต่เนื่องจากพื้นที่อุทยานฯนั้น เป็นพื้นที่เปราะบาง ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้น เพื่อรักษาแหล่งธรรมชาติให้คงอยู่โครงการนี้เล็งเห็นว่า การท่องเที่ยวสำคัญกับการพัฒนาประเทศ จึงจัดการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่า อีกทั้งยังสร้างมาตรฐานของการจัดอุทยานแห่งชาติและท่องเที่ยวในด้านความสะอาด ปราศจากขยะ และมลพิษ สร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีให้แก่อุทยานโดยกำหนดการท่องเที่ยวให้จำกัดอยู่ในขีดความสามารถในการรองรับในอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งภายใต้แนวคิด "7 Greens" ( ไม่ใช่ 7-11 นะครับ ฮี่ๆ ) ซึ่งต้องสร้างความรู้สึกให้กับนักท่องเที่ยวและชุมชน ปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางหรือรูปแบบการให้บริการด้านคมนาคมขนส่ง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อต้องการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว สนับสนุนรายได้ให้กับประเทศ และส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมรักษาธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และที่สำคัญเพื่อลดภาวะโลกร้อน ซึ่งระยะนำร่อง มีพื้นที่เป้าหมายเป็นอุทยานแห่งชาติทางบก 1 แห่ง และอุทยานแห่งชาติทางทะเล 1 แห่ง คือ "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" ที่ครอบคลุมพื้นที่ จังหวัดปราจีนบุรี สระบุรี นครนายก และนครราชสีมา และอุทยานแห่งชาติทางทะเล คือ "อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา" จังหวัดพังงาโครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียว จะดำเนินงานภายใต้หลักการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างยั่งยืนในระหว่างเดือนตุลาคม 2551 – กันยายน 2552โครงการอุทยานแห่งชาติสีเขียวนี้ จะมีกิจกรรมหลักๆ อยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ด้าน คือด้านการประชาสัมพันธ์ ที่จะจัดให้มีการประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญอุทยานฯ รวมถึงการให้ข้อมูลในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริมให้ลดใช้พลังงานต่างๆ ทั้งน้ำ ไฟฟ้า รวมถึงการบำบัดในด้านมลภาวะต่างๆด้านการบริการ ที่มีการพัฒนามาตรฐานการบริการภายในอุทยานต่างๆ อาทิ ความปลอดภัย ที่พัก ระบบป้าย การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นต้น และท้ายสุด การบริหารจัดการ ที่มีการกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์อย่างชัดเจนซึ่งต่อไปอุทยานแห่งชาติแห่งชาติเขาใหญ่ อันเป็นอุทยานแห่งชาติสีเขียวนำร่องนั้น จะใช้รถที่ไร้มลพิษ และมีรถรับ-ส่งเพื่อลดปัญหาการจราจรแออัด ลานจอดรถแน่น และจะมีการกำหนดพื้นที่สูบบุหรี่ สนับสนุนโครงการร้านค้าในอุทยานที่มีตรา Green food good test และจะพัฒนาไปยังอุทยานแห่งชาติต่างๆ ในประเทศไทย
นี่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆที่ผมคิดว่าน่าสนับสนุน และเพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกของคนไทยทุกคนให้หวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของเรา อีกทั้งเพื่อเป็นปกป้องสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติไม่ให้โดนทำลายไปจากฝีมือของนักเที่ยวที่ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติว่ามันเปราะบางแต่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน อย่างไรก็ตามหากคุณไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ จงระลึกไว้เสมอว่า ธรรมชาติและสัตว์ป่าคือเจ้าบ้าน ส่วนเราเป็นเพียงแขกผู้มาเยี่ยมเยือนเท่านั้น

Monday, January 5, 2009

ประเพณี"ฮีตสิบสอง"




ปฏิทินสากลเดินทางเข้าสู่ปีใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านของรอบปี จากปีชวด-หนู 2551 เข้าสู่ปีฉลู- วัว 2552 ขณะที่การเปลี่ยนผ่านในวงรอบเล็กลงมาอย่างการเปลี่ยนผ่านของแต่ละเดือนนั้น หลายประเทศอาจไม่ให้ความสนใจ แต่สำหรับชาวอีสานโบราณแล้วนี่คือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งชาวอีสานได้บ่มเพาะภูมิปัญญา ก่อกำเนิดเป็นประเพณีสำคัญๆขึ้นมาและได้ร่วมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยพวกเขาเรียกขานประเพณีเหล่านี้รวมกันว่า "ฮีตสิบสอง"

ฮีตสิบสอง หมายถึง จารีตประเพณีประจำสิบสองเดือน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ชาวบ้านจะได้มาร่วมชุมนุมและทำบุญในทุกๆ เดือนของรอบปี และถือเป็นจรรยาของสังคม ผู้ที่ฝ่าฝืนก็จะเป็นผู้ที่ ผิดฮีต หรือ ผิดจารีต นั่นเอง(หลายครั้ง ฮีตสิบสอง มักจะกล่าวควบคู่" คลองสิบสี่ "(คองสิบสี่) ที่เป็นดังแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิต(คลอง=ครรลอง)แต่จะมุ่งเน้นไปทางศีลธรรมมากกว่าด้านอาชีพ)



สำหรับประเพณีหลักๆ 12 เดือนตามฮีตสิบสองของชาวอีสานโบราณนั้นประกอบด้วย


เดือนเจียง (เดือนอ้าย) มีการประกอบพิธีบุญเข้ากรรม ซึ่งเป็นเดือนที่พระสงฆ์เข้ากรรม (ปริวาสกรรม) เพื่อให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิด ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์ เป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน และมุ่งประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป ชาวบ้านก็จะมีการทำบุญเลี้ยงผีต่างๆ


เดือนยี่ ในฤดูหลังการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะทำบุญคูณข้าวหรือบุญคูณลาน โดยนิมนต์พระสวดมนต์เย็น เพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก รุ่งเช้าเมื่อพระฉันเช้าแล้วจะมีการทำพิธีสู่ขวัญข้าว นอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน


เดือนสาม ในมื้อเพ็ง หรือวันเพ็ญเดือนสาม จะมีการทำบุญข้าวจี่และบุญมาฆบูชา การทำบุญข้าวจี่จะเริ่มตอนเช้า โดยใช้ข้าวเหนียวปั้นใส่น้ำอ้อยนำไปจี่บนไฟอ่อนแล้วชุบด้วยไข่ เมื่อสุกแล้วนำไป ถวายพระ


เดือนสี่ ทำบุญพระเวสฟังเทศน์มหาชาติ ในงานบุญนี้มักจะมีผู้นำของมาถวายพระ ซึ่งเรียกว่า "กัณฑ์หลอน" หรือถ้าจะถวายเจาะจงเฉพาะพระนักเทศน์ที่ตนนิมนต์มาก็จะเรียกว่า "กัณฑ์จอบ" เพราะต้องแอบซุ่มดูให้แน่เสียก่อนว่าใช่พระรูปที่จะถวายเฉพาะเจาะจงหรือไม่


เดือนห้า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หรือบุญสรงน้ำ หรือบุญเดือนห้า ซึ่งมีขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้า และถือเป็นเดือนสำคัญ เพราะเป็นเดือนเริ่มต้นปีใหม่ไทย การสรงน้ำจะมีทั้งการรดน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยน้ำอบน้ำหอมเพื่อขอขมาและขอพร ตลอดจนมีการทำบุญถวายทาน


เดือนหก ประเพณีบุญบั้งไฟและบุญวันวิสาขบูชา การทำบุญบั้งไฟเป็นการขอฝน พร้อมกับงานบวชนาค ซึ่งการทำบุญเดือนหกถือเป็นงานสำคัญก่อนการทำนา หมู่บ้านใกล้เคียงจะนำเอาบั้งไฟมาจุดประชันขันแข่งกัน หมู่บ้านที่รับเป็นเจ้าภาพจะจัดอาหาร เหล้ายามาเลี้ยง เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งขบวนแห่บั้งไฟและรำเซิ้งออกไป ณ ลานที่จุดบั้งไฟ ด้วยความสนุกสนาน คำเซิ้งและการแสดงประกอบจะออกไปในเรื่องเพศ แต่จะไม่คิดเป็นเรื่องหยาบคายแต่อย่างใด ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีที่จังหวัดยโสธร ส่วนการทำบุญวิสาขบูชานั้น จะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ช่วงเย็นมีการเวียนเทียนเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ


เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ (ล้าง) หรือบุญบูชาบรรพบุรุษ มีการเซ่นสรวงหลักเมือง หลักบ้าน ปู่ตา ผีตาแฮก ผีเมือง เป็นการทำบุญเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณ

เดือนแปด ทำบุญเข้าพรรษาซึ่งเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาโดยตรง ลักษณะการจัดงานจึงคล้ายกับทางภาคอื่นๆ ของประเทศไทย เช่น มีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร มีการฟังธรรมเทศนาตอนบ่าย ชาวบ้านหล่อเทียนใหญ่ถวายเป็นพุทธบูชาและเก็บไว้ตลอดพรรษา การนำไปถวายวัดจะมีขบวนแห่ฟ้อนรำเพื่อให้เกิดความคึกคักสนุกสนาน ประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเป็นที่จังหวัดอุบลราชธานี


เดือนเก้า ประเพณีทำบุญข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศแก่ญาติผู้ล่วงลับ เพื่อบูชาผีบรรพบุรุษและผีไร้ญาติ โดยชาวบ้านจะทำการจัดอาหาร ประกอบด้วยข้าว ของหวาน หมากพลู บุหรี่ ห่อด้วยใบตองกล้วย ร้อยเป็นพวง เตรียมไว้ถวายพระช่วงเลี้ยงเพล บางพื้นที่อาจจะนำห่อข้าวน้อย เหล้า บุหรี่ แล้วนำไปวางหรือแขวนไว้ตามต้นไม้ และกล่าว เชิญวิญญาณของบรรพบุรุษและญาติมิตรที่ล่วงลับไปมารับส่วนกุศลในครั้งนี้ ต่อมาใช้วิธีการกรวดน้ำหลังการถวายภัตตาหารพระสงฆ์แทน การทำบุญข้าวประดับดิน นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า

เดือนสิบ ประเพณีทำบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัตร) ตรงกับวันเพ็ญ เดือนสิบ ผู้ถวายจะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใส่ของทาน และเขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้ สลากของใคร ผู้นั้นจะเข้าไปถวายของ เมื่อพระฉันเสร็จแล้วจะมีการฟังเทศน์ เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ผู้ตาย

เดือนสิบเอ็ด ประเพณีทำบุญออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด พระสงฆ์จะแสดงอาบัติ ทำการปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ต่อมาเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทเตือนพระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตนอย่างผู้ทรงศีล พอตกกลางคืนจะมีการจุดประทีป โคมไฟ นำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ในวัดหรือตามริมรั้ววัด จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญจุดประทีป ในจังหวัดนครพนมจะมีประเพณีการไหลเหลือไฟ ซึ่งตกแต่งด้วยตะเกียงน้ำมันก๊าดเป็นรูปต่างๆ สวยงามกลางลำน้ำโขง และมีหลายจังหวัดที่จัดงานแห่ปราสาทผึ้งขึ้น แต่ที่นับว่าเป็นต้นตำรับและมีความยิ่งใหญ่กว่าที่ใด ก็คือ จังหวัดสกลนคร

เดือนสิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่า ซึ่งจะมีการทำบุญกองกฐิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรม หนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง แต่ชาวอีสานในสมัยก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกันตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า บุญเดือนสิบสอง สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล จะมีการจัดส่วงเฮือ (แข่งเรือ) เพื่อระลึกถึง อุสุพญานาค บางแห่งจะมีการทำบุญดอกฝ้ายเพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร มีการจุดพลุตะไล และบางแห่งจะมีการทำบุญโกนจุกลูกสาว ซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน

ประเพณีทั้งสิบสองเดือน ชาวอีสานโบราณถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบสอง ใครที่ไม่ไปช่วยงานบุญก็จะถูกสังคมตั้งข้อรังเกียจ และไม่คบค้าสมาคมด้วย การร่วมประชุมทำบุญเป็นประจำทำให้ชาวอีสานมีความสนิทสนมรักใคร่และสามัคคีกัน ทั้งภายในหมู่บ้านของตนและในหมู่บ้านใกล้เคียง

สำหรับวันนี้ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ประเพณี 12 เดือนหลายอย่างของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในขณะที่บางประเพณีก็เริ่มสูญหาย ซึ่งหากประเพณีเหล่านี้ไม่มีการสืบต่อหรือไม่มีการอนุรักษ์ไว้ บางทีในอนาคตเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักประเพณีอันดีงามอย่าง"ฮีตสิบสอง"ก็เป็นได้

ผู้สนใจร่วมสัมผัสศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และสถานที่ท่องเที่ยวของภาคอีสาน และบริการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆได้ในงาน เทศกาลเที่ยวอีสาน 2552 หรือ Amazing E-san Fair 2009 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 18 มกราคม 2552 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์